รอคนที่สู้ชีวิตให้อยู่ต่อไป





มื่อเราทั้งหลายหวนรำรึกถึงเหตุการณ์ได้ที่ผ่านมา ท่านได้รักเเละเรียกร้องยัดยืน สิทธิเสรีภาพเเละความเป็นธรรมเพื่อปวงชน




ร้อยป่าสยามนิมิต ร้อยป่าสยามนิมิต

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

จดหมายขอขมาท่านนายกรัฐมนตรีจากคณะกรรมศาลกลางเมือง ปรีดี พนมยงค์ เเละนายควง อภัยวงศ์




เขาว่าปรีดีฆ่าในหลวงร.8(โปรดใช้วิจารณญาน)
ณ วันนี้ก็ครบ 73ปีที่ในหลวงรัชกาลที่8
อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย
ได้จากไปพร้อมทิ้งปริศนาลึกลับซับซ้อนที่สุดในโลกเอาไว้
การสวรรคตของพระองค์นั้น ได้มีกลุ่มคนนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำลายรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ เพื่อสร้างอำนาจและความชอบธรรมให้กลุ่มของตน
วันนี้เรามาย้อนเวลา กลับไปคิดทบทวน เรื่องราวเรื่องนี้กัน
16ส.ค.2488 เสร็จสงครามโลกครั้งที่2
6ก.ย.2488 ปรีดีโทรเลขเชิญร.8กลับประเทศ

14ก.ย.2488 ร.8บอกว่ายังเรียนไม่จบ
แต่จะกลับมาเยี่ยมสักระยะแล้วจะกลับไปเรียนต่อ
5 ธ.ค.2488 เสด็จถึงเมืองไทย
ปรีดีลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ถวายพระราชบัลลังก์คืนให้กษัตริย์
หลังจากที่ช่วยปกป้องรักษามาเป็นเวลากว่า4ปี
8ธ.ค.2488 ร.8แต่งตั้งปรีดีเป็นรัฐบุรุษอาวุโส
ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุด ที่ปรีดีได้รับ
เป็นการตอบแทนความซื่อสัตย์เสียสละ
จงรักภักดีทำงานรับใช้ชาติอย่างดีเยี่ยม
25ม.ค.2489 มีการประชุมเพื่อเลือกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ที่ประชุมสภามีมติเลือกนายปรีดีพนมยงค์ แต่ปรีดี "ปฏิเสธ"
ที่ประชุมจึงให้ นายควง อภัยวงศ์เป็น
(รัฐสภาไทยในรอบ42ปี (2475-2517)หน้า498)
18มี.ค.2489นายควงลาออก
19มี.ค.2489สภามีมติให้นายปรีดีเป็นนายก
โดยในหนังสือแจ้งมาเป็นเชิงขอร้องว่า
"ในภาวะคับขับและสถานการณ์เช่นนี้
ซึ่งต้องมีการเจรจากับพันธมิตรในปัญหาต่างๆ
ผู้ดำรงตำแหน่งควรจะเป็นนายปรีดี"
ท่านจึงรับแต่บอกว่าจะอยู่เพียงระยะสั้นๆ
9พ.ค. 2489 ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
(ปรีดีตั้งใจผลักดันมากโดยเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด)
3มิ.ย2489 ปรีดี ลาออกจากนายก
เพราะ ตั้งใจไว้แต่แรก หมดภารกิจ
รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดถูกประกาศใช้แล้ว
7มิ.ย.2489 ประชุมสภามีมติให้ปรีดีเป็นนายกอีก
โดยสภากราบทูลร.8
ร.8จึง เรียกเข้าไปพบ ปรีดีแจ้งว่า
"ไม่ปรารถนาที่จะรับตำแหน่ง
เพราะเท่าที่โปรดเกล้าเป็นรัฐบุรุษอาวุโสนั้น
ก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณอยู่แล้ว "
ร.8มีพระกระแสรับสั่งว่า
"ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้
ขอให้ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปก่อน"
8ม.ย.2489 แต่งตั้งปรีดีเป็นนายกอีกครั้ง
9มิ.ย.2489 ร.8สวรรคต สภามีมติให้ให้ร.9ขึ้นครองราชย์
ปรีดีก็ได้ลาออก โดยเขียนในใบลาออกว่า
ร.8เป็นคนแต่งตั้งตน เมื่อร.8สวรรคตตน
ก็ขอลาออกและไม่ประสงค์รับตำแหน่งอีก
10มิ.ย.2489 สภามีมติเลือกปรีดีเป็นนายกรอบที่3
เพราะเหตุผลว่าบ้านเมืองอยู่ในภาวะคับขัน
ไม่มีใครเหมาะกว่าปรีดีอีกแล้ว
ร.9ลงพระปรมาภิไธย รับรอง
(สามารถสืบค้นได้จาก รัฐสภาไทยในรอบ42ปี)
ที่ไล่ระยะเวลาก่อนสวรรคตให้ทราบนี้ก็จะชี้ให้เห็นว่า
ปรีดีเองได้มาถึงจุดสูงสุดทางการเมือง
ไม่ปราถนาที่จะมีอำนาจอะไรอีก
เพราะกังวลสุดท้ายก็ลุล่วงนั้นคือ
รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด ถูกประกาศใช้แล้ว
แต่ถูกขอร้องจากรัฐสภาและตัวร.8เอง
ตามความเหมาะสมนั้นคือ
ผู้ที่เป็นรัฐบุรุษอาวุโสคือเกียรติสูงสุด
ก็ไม่ควร "ลดตัว" ลงมาเป็นนายก
แต่ท่านก็เห็นแก่บ้านเมืองจึงยอมรับมา
นี่คือเหตุผลแรกที่ บอกได้ว่า ปรีดีไม่มี
"แรงจูงใจ" ด้านความมักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ
อยากเป็นใหญ่เป็นโตอะไร
จนเป็นสาเหตุในการที่จะปลงพระชนม์
ไทมไลน์เหตุการณ์สวรรคตนั้น
คุณกังวาฬ  พุทธิวนิช ได้ทำไว้อย่างละเอียด
มากแล้วจึงเชิญผู้ที่สนใจ ศึกษาได้จากลิงค์ด้านล่างนี้
ผลสรุปของคุณกังวาฬ คือ เกิดจากอุบัติเหตุ ด้วยพระองค์เอง
ส่วนใครจะมีความเห็นอย่างไรนั้น
ลองใช้วิจารณญานกันเอาเองนะครับ
โปรด้านนี้อีกคนคือ อ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
มีความเห็นว่า เกิดจากผู้อื่น โดยอุบัติเหตุ
แต่ผมจะนำเสนอในประเด็นที่ พาดพึงถึงปรีดี
เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ให้กระจ่าง
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1922184797861515&id=100002100414306
ประการแรก "ปรีดีไม่เคยตกเป็นจำเลยของคดีนี้" 
สาเหตุที่ต้องหลบหนีเพราะในคืนวันที่7ย่างเข้าวันที่8พ.ย.2490
ได้มีทหารนำกำลังมายิงถล่มทำเนียบท่าช้าง
บ้านพักของปรีดีและครอบครัวเพื่อสังหารปรีดี
โดยไม่สนใจว่า ในบ้านมีเด็กและผู้หญิงอยู่ด้วย
ปรีดีหนีรอดอย่างหวุดหวิด   หากไม่หนีก็คงถูก "ฆ่า"ตายไปแล้ว  
เมื่อปรีดีหนีไปที่จีน  แต่คนสนิทผู้อารักขา
ยังอยู่ที่สิงคโปร์คือ ร้อยตำรวจเอกเฉียบ  ชัยสงค์
และสิบตำรวจโท ชม แสงเงิน
รัฐบาลเผด็จการได้ดำเนินการให้รัฐบาลอังกฤษในสิงคโปร์
ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนมายังกรุงเทพ
โดยมอบหลักฐานต่างๆให้ทางศาลอังกฤษพิจารณา
ศาลอังกฤษพิจารณาตามหลักฐานแล้ว กล่าวว่า
"Nothing so discharge these two person"
ประมาณว่า  "ไม่มีสาระอะไรเลย" จึงปล่อยคนทั้งสองไป
ถือเป็นการกระทำที่ตอกหน้ารัฐบาลเผด็จการจนหน้าแหก!!!
ต่อมารัฐบาลเผด็จการออกหมายจับปรีดีและเรือเอกวัชรชัย
ขณะนั้นยังอยู่ที่ฮ่องกง ทางรัฐบาลไทยก็ทราบ
แต่ไม่กล้าให้ทางฮ่องกงส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเพราะ
ไม่อยากโดนแฉ ว่าสร้างหลักฐานเท็จ กลัวหน้าแหกกลับมาอีกครั้ง!!!
ประการที่2 การสร้างข่าวลือ
เริ่มจากวันที่9มิ.ย.2489เวลาประมาณ 13.00น.
(ในหลวงสวรรคต9.30น.)ได้มีโทรศัพท์
ลึกลับ โทรไปแจ้งยังนายทหารชั้นผู้ใหญ่ว่า
ในหลวงถูกปลงพระชนม์
รัฐบาลจะแถลงยังไงอย่าไปเชื่อ!!
วันที่11มิ.ย.2489 มีเจ้าองค์นึงไปยังสถานทูตอังกฤษ
โฆษณาจูงใจท่านทูตอังกฤษว่า ปรีดีจะสถาปนาสาธารณรัฐ
จึงลอบปลงพระชนม์แต่ท่านทูตอังกฤษไม่เชื่อ
และทำรายงานไปยังรัฐบาลอังกฤษในวันรุ่งขึ้น
เมื่อผ่านมา30ปี รัฐบาลอังกฤษจึงได้เปิดเผยเอกสารชิ้นนี้
ให้สาธารณชนได้รับทราบ
มีการให้คนไปตะโกนในโรงภาพยนต์เฉลิมกรุง
"ปรีดีฆ่าในหลวง" ต่อมาสืบได้ว่าเป็นฝีมือของนาย
เลียง ไชยกาล ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 
เมื่อออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว
ได้เขียนจดหมายมาขอขมาปรีดีในเรื่องนี้
หลังสวรรคตได้13วันพรรคประชาธิปัตย์ได้ประชุมพรรค
เพื่อชี้แจงกรณีสวรรคตให้นำไปบอกกล่าวประชาชน
โดยนายประเสิรฐ ทรัพย์สุนทร ส.ส.สุราษฎร์ธานี
หนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุม ได้เล่าว่า "ท่านปรีดี
เป็นผู้วางแผนปลงพระชนม์ เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ
เป็นแบบสาธารณรัฐและมีความเห็นขัดแย้งกับในหลวง
เรื่องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ " 
เรื่องนี้เป็นการสร้างข่าวเท็จเพื่อผลทางการเมืองที่ชัดเจน
เพราะการเปลี่ยนองค์พระมหากษัตริย์
ไม่สามารถเปลี่ยนระบอบได้ มีแต่คนปัญญาอ่อนเท่านั้นที่คิดได้!!
เมื่อปรีดีลี้ภัยแล้วมีการเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์
และเขียนหนังสือที่กล่าวว่าปรีดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง 
ก็ถูกฟ้องจนแพ้หมดทุกคน
ข้อกล่าวหาที่ว่านายเฉลียว1ในจำเลย
เป็นคนสนิทของปรีดีร่วมกันวางแผนปลงพระชนม์
นั้นเป็น "ความเท็จ"
โดยนายเฉลียวเป็นอดีตราชเลขานุการ
คือเป็นอดีตเลขาของร.8 
จริงอยู่ที่นานเฉลียวเป็น1ในคณะราษฎร
แต่เป็นคนที่นายควงชักชวนเข้ามา
โดยทำงานที่กรมไปรษณีย์ด้วยกัน
มีความสนิทสนมกันมาแต่เดิม คนทำงานด้วยกัน
ชวนกันมาก่อการปฏิวัติย่อมมีความสนิทกับนายควง
มากกว่าปรีดีอย่างแน่นอน
ปรีดีเองไม่เคยรู้จักนายเฉลียวมาก่อน
ไม่เคยพบปะกันมาก่อนจนถึงเช้าวันที่24มิ.ย.2475 
และการที่นายเฉลียวได้เข้ามาทำงานในวังนั้น
อยู่ในสมัยพระยาพหลเป็นนายกรัฐมนตรี 
ปรีดีเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่มีอำนาจในด้านนี้
พระยาพหลเป็นคนเสนอชื่อให้
ผู้สำเร็จราชการลงนามเมื่อปี 2480
ไม่ใช่ปรีดีดังคำกล่าวหาไม่
ต่อมาเมื่อปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการ
นายควง นายกรัฐมนตรีก็เป็นคนเสนอชื่อ
ให้นายเฉลียวเป็นเป็นราชเลขานุการ ในเดือน ส.ค.2487
ก่อนร.8จะกลับมาอีก 1ปี4เดือน
เพราะด้วยความสนิทกันมาแต่เดิม
ข้อกล่าวหาที่ว่านายเฉลียวเอารถในหลวงมาให้ปรีดีใช้นั้น
ก็ไม่เป็นความจริง โดยก่อนหน้านี้นั้นทรงให้ปรีดีตามเสด็จ
ไปหัวหินด้วยกันและก็กลับพร้อมกัน แต่นายระวิให้การเป็นพยานว่า
ตอนไปหัวหินนั้นรถยังอยู่แต่พอกลับมารถเชฟโรเลตนั้น
ไม่อยู่เสียแล้วนายเฉลียวเอาไปให้ปรีดีใช้ 
จะเอาไปให้ปรีดีใช้ได้อย่างไรในเมื่อปรีดีอยู่กับในหลวงตลอด
และที่บ้านปรีดีก็มีรถอยู่แล้ว
แต่มีพระราชกระแสจากในหลวงร.9
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2493 ว่า
"เมื่อสมเด็จพระราชนนีทรงเรียกใช้รถไม่ได้นั้น
จะเกิดก่อนหรือเกิดหลังกลับจากหัวหินจำไม่ได้
"ได้ยินเขาพูดกันว่า"  นายปรีดีเอาไปใช้
โดยให้นายเฉลียวส่งไปให้" 
ทั้งนี้ในหลวงมิได้ทรงยืนยัน
โดยใช้พระดำรัสว่า "ได้ยินเขาพูดกัน"
ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่ารถหายนั้น ปรากฎว่า
ได้เคยมีมาก่อนที่ปรีดีจะเข้ามาเป็นผู้สำเร็จราชการ
โดยบุคคลที่ทำงานในวัง ติดต่อกับโจรนำรถ
ไปขายเป็นทอดๆจนถึงพระตะบอง
ผู้ใส่ร้ายกล่าวหาว่า
เพราะร.8ต้องการมาเล่นการเมือง
แล้วทำให้ปรีดีไม่พอใจนั้น คือ  "คำโกหก"
เพราะร.8ก็ต้องการไปเรียนต่อ
มีกำหนดเดินทางวันที่ 13มิ.ย.2489
แต่หากเป็นเรื่องจริง ก็ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรกับปรีดีเลย
เพราะปรีดีก็ไม่ได้มีความต้องการอยู่แล้ว
ข่าวนี้เกิดจากพรรคการเมืองกากเดนศักดินาที่เจ็บแค้น
และไม่สามารถเอาชนะปรีดีได้ทางสภา เป็นผู้ กุ ขึ้น
ข้อกล่าวหาที่ว่า
ปรีดีกับพวกวางแผนลอบปลงพระชนม์กัน
ที่บ้านพระยาศรยุทธเสนี โดยนายตี๋ ศรีสุวรรณให้การ
ภายหลังนายตี๋ได้ออกมายอมรับ
โดยเขียนจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมประทับรอยนิ้วมือ
ว่าโดนจ้างวานให้เป็นพยานเท็จใส่ร้ายปรีดีและจำเลย
และพระยาศรยุทธเองภายหลังหมดยุคอำนาจเผด็จการ
ก็เขียนจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นกันว่า
ที่ทำไปเพราะโดนข่มขู่ เกรงจะมีภัย
จึงให้การไปตามที่พระพินิจชนคดีต้องการ
ลองคิดกันดูนะครับ ผู้ที่สอบสวนคดี(ฝ่ายตรงข้ามปรีดี)
พุ่งเป้าที่จะทำลายปรีดี ได้สร้างพยานเท็จมากมาย
ซึ่งเป็นเพียงพยานแวดล้อมไม่มีหลักฐานอะไรเลย
เจตนาร้ายชัดเจน
ผู้ที่เชื่อว่าปรีดีวางแผนฆ่าในหลวงนั้น ควรพิจารณาให้ถ่องแท้
ข้อสงสัยบางประการกรณีสวรรคต
ในวันเกิดเหตุสิ่งที่น่าขบคิดคือเมื่อหมอนิตย์
(หมอหลวง)มาตรวจ ก็บอกพระชนนีว่า "ว่าหมดหวัง "
พระชนนีรับสั่งให้ "ทำเสียให้สะอาด" 
มีการทำความสะอาด แผลเย็บแผล เปลี่ยนผ้าปู ผ้า หมอน
ที่นอน ชุดนอนทุกอย่างใหม่หมด
เข้าใจว่า ทุกคนคิดว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุ
ตามที่นายชิต(มหาดเล็ก)กราบทูล
พระชนนีหลังเสียงปืนดังขึ้นว่า "ในหลวงทรงยิงพระองค์"
และนายชิตยังทำท่าประกอบ แต่วันรุ่งขึ้นจึงทราบว่า
นายชิตไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ด้วยเหตุผลนี้
จึงไม่มีใครคิดว่าจะต้องชันสูตรอะไรและ
ต้องรีบทำความสะอาดเพื่อจะทำพิธีรดน้ำพระศพในช่วงบ่าย 
เมื่อปรีดีและรมต.มหาดไทย (หลวงเชวงศักดิ์สงคราม)
อธิบดีกรม (ตำรวจพลต.ท.พระรามอินทรา)
มาถึงจะทำการตรวจพระบรมศพแต่
กรมขุนชัยนาท ห้ามไว้ อธิบดีกรมตำรวจหันมามองปรีดี 
ปรีดีก็นิ่งไม่กล้าขัดประการใด
ทั้งที่จริงแล้วจะต้องมีการตรวจสภาพศพตามกระบวนการ
ข้อสังเกตุ
การทำความสะอาดเสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าปูทั้งหมดนั้น
ทั้งที่เหตุการณ์กำลังวุ่นวาย แต่ทำไม พนักงานทำความสะอาดซึ่งคงมีงานประจำของตัวอยู่แล้ว
กลับรีบทำความสะอาด หากเป็นเหตุปกติ ค่อยทำทีหลังยังได้  มีเหตุจำเป็นอะไรต้องรีบทำ???
หมอน ทำไมต้องเอาไปฝัง ทำไมไม่ทิ้งเฉยๆ หรือปกติการกำจัดขยะ กำจัดด้วยการฝัง แล้วทำไมต้องรีบฝัง???
ข้อสังเกตุเรื่องปืนและกระสุน
ศาลเชื่อว่า ปืนที่พบในที่เกิดเหตุนั้น ไม่ใช่ปืนที่ใช้ในการปลงพระชน เพราะมีการตรวจพบว่าปืนนี้ได้ใช้ยิงมาก่อนวันสวรรคต4วัน วิธีการตรวจคือการวัดค่าสารไนไตรท์ ถ้ามีมากเพิ่งยิง มีน้อยยิงนานแล้ว โดยวิธีการนี้ไม่ได้รับการยอมรับแล้วในปัจจุบันเพราะไม่สามารถวัดได้แน่นอน โดยหน่วยงานที่ทำการพิสูจน์คือกรมวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็ไม่เคยทำมาก่อนเลยสักครั้ง
ความจริงเรื่องนี้หากคิดสักนิดจะง่ายมาก
นำปืนสัก10กระบอกยิงในเวลาที่ต่างกัน แล้วส่งให้ตรวจดู โดยไม่บอกว่ากระบอกไหนเวลายิงเมื่อไหร่ หากผลการตรวจออกมาถูกต้องก็เป็นที่น่าเชื่อถือได้ แต่ไม่มีการทำ!!
ส่วนกระสุนที่พบในที่เกิดเหตุ ศาลเชื่อว่า ไม่ใช่กระสุนที่ปลงพระชนม์ ไม่พบรอยบู้บี้ของกระสุน
หากศาลเชื่อเช่นนี้ ก็แสดงว่า เมื่อผู้ร้ายยิงเสร็จ
ต้องมาเขี่ยเอากระสุนที่ยิงออก แล้วเอากระสุนที่เตรียมมายัดลงไปที่รูกระสุนเดิมที่ฝังอยู่ในที่นอน
แล้วเอาปลอกกระสุนที่เตรียมไว้ วางไว้ที่เกิดเหตุ
ซึ่งปลอกกระสุนนี้ ต้องเป็นของปืนของในหลวงด้วย แล้วคนร้ายก็ต้องเอาปืนที่พบในที่เกิดเหตุมาวางไว้ใกล้ๆ ทำว่าในหลวงปลงพระชนม์ตนเอง
ดูๆแล้วแปลกๆมั้ยครับ แสดงว่าคนร้ายใจเย็นและมีเวลามากนะถึงทำอย่างนั้นได้
สุดท้ายศาลก็ไม่สามารถระบุได้ว่า "ใครคือผู้ที่ยิง"
ตัดสินจากพยานแวดล้อม หากเป็นในปัจจุบันนี้เชื่อว่าด้วยเทคโลโนยี อาจทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นมาก และหากนำคดีนี้ไปตัดสินที่ศาลอื่นบนโลก ก็เชื่อว่า ผลลัพธ์คงไม่เป็นดังที่เกิดขึ้น
หากผู้ที่มีใจเป็นธรรมทั้งหลายพิจารณาดูตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎเป็นหลักฐานก็จะค้นพบ "สัจจะ" คำครหานินทา นิยายการเมือง หากการเชื่อคำกล่าวที่ปราศจากหลักฐานนี้ ก็ย่อมตัองให้ความยุติธรรมข่าวลืออีกด้านนึงด้วย ดังนั้น เรื่องนี้ไม่สามารถเชื่อมั่วๆได้
รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ หากท่านเป็นคนเลวเป็นผู้ที่มีมลทินแล้วไซ้ร ทำไมองค์การยูเนสโกจึงให้ท่านเป็นบุคลสำคัญของโลก ซึ่งถูกเสนอในยุคพลเอกชวลิต ยงใจยุทธเป็นนายก
แล้วเสร็จในสมัยนายกชวน หลีกภัย
"ผู้ที่เกลียดปรีดี คือผู้ที่ไม่รู้จักปรีดี"
ต.ติน ศรีนิล
https://www.facebook.com/%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A5-350256375513145/
ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก
คำตัดสินใหม่กรณีสวรรคต
50ปีทูลกระหม่อมแก้วจากพสกนิกรไปแล้ว
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต
กรณีสวรรคต9มิ.ย.2489
บันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตร.8
คำพิพากษาศาลอุทรณ์ศาบฎีกาคดีประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
ปรีดีพนมยงค์ตามทัศนะส.ศิวลักษณ์
(โหลดฟรีPDF)
ที่มา : เกร็ดประวัติศาสตร์
https://www.facebook.com/726502237386172/posts/1877083665661351/


ไม่มีความคิดเห็น:

คลังบทความของบล็อก

คลิก ติดตามข่าวสาร